RUN-ON ซีรีส์ส่งท้ายปี 2020 ว่าด้วยเรื่องราวของนักกีฬากรีฑาทีมชาติ รูปหล่อ บ้านรวย พ่อเป็นสส.ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แม่เป็นดาราชื่อดังระดับคานส์ พี่สาวเป็นโปรกอล์ฟระดับโลก กับหญิงสาวผู้ผ่านชีวิตมาอย่างยากลำบาก และตกหลุมรักในเรื่องราวที่ถ่ายทอดผ่านแผ่นฟิล์ม จนเลือกที่จะเป็นนักแปลซับไตเติ้ลมืออาชีพ รับงานเสริมเป็นล่าม และอีกเรื่องราวของเวิร์กกิ้งวูแมนที่เป็นซีอีโอเอเจนซี่นักกีฬากับนักศึกษาศิลปะ
คีซอกยอม
นักกรีฑาทีมชาติรูปหล่อพ่อรวยนั่นเอง
แค่อ่านคาแรคเตอร์ก็อาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ใช่ไหมคะ
แม้กระทั่งดูตัวอย่าง (ตามแนบ) ก็รู้สึกว่ามันต้องเป็นซีรีส์หวานๆ แน่เลย
เราก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันในตอนแรก
แต่พอได้ลองดูไปสี่ตอนพบว่าเราไม่ควรประเมินอะไรจากภาพลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวเลยจริงๆ
ต่อจากนี้เป็นความคิดเห็นของเราหลังจากได้ดูซีรีส์นะคะ
ถ้าคิดเห็นต่างกันยังไงก็ทิ้งคอมเม้นท์ไว้ได้ค่ะ อาจจะมีจุดที่เราตกหล่นไป
หรือมองผิดพลาดไป
ก่อนจะพูดถึงเรื่องราวในซีรีส์ ขอพูดถึงตัวละครหลักๆ สามตัวก่อน
อิมชีวานเล่นเป็นคีซอนกยอมได้น่าสนใจมาก
เราสนใจวิธีการตีความตัวละครตัวนี้แล้วออกมาเป็นแบบนี้ของชีวาน
ตัวซอนกยอมเป็นคาแรคเตอร์ที่เราชอบเป็นพิเศษ
เขาเป็นคนที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรและอ่อนโยนต่อโลกมาก แบบว่าผู้ชายในฝัน
แต่อาจจะมีวิธีการพูด หรือการคิดที่ออกจะค่อนข้างเฉพาะตัวไป
เป็นตัวละครที่ดูจะเป็นคนดี
(ดีแบบเพราะเขารวยเขาถึงเป็นคนใจดีแบบที่แม่ตระกูลคิมเคยให้คำจำกัดความคุณนายพัคไว้ใน
Parasite 55555) จนน่าหงุดหงิด เมื่ออยู่กับตัวละครอื่นๆ
ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นความอบอุ่นที่ชวนพิลึกอยู่ มันแบบไม่ได้ไม่ดี
แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกคอมฟอร์ทขนาดนั้น (ในตอนนี้ที่อีพี 4)
แต่สิ่งที่ชอบที่สุดคงเป็นความกบฏในตัวซอนกยอม
มันเป็นความกบฏที่ยังตั้งอยู่ในกฎ โคตรย้อนแย้ง แต่ตัวละครนี้เป็นแบบนั้นแหละ
เลยรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่ซับซ้อนในแง่ของความรู้สึกมาก
ตัวของโอมีจูที่รับบทโดยชินเซคยอง ก็มีความน่าสนใจในหลายๆ แง่
จริงอยู่ว่าอาจจะค่อนข้างดูเป็นสูตรสำเร็จสำหรับนางเอกเกาหลีในยุคนี้กับตัวละครโอมีจู
ปากกล้า โตมาอย่างยากลำบาก แต่เต็มไปด้วยความฝัน
และก็ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จกับงานที่ทำ
แต่เราค่อนข้างชอบความสับสนงงงวยในตัวละครตัวนี้
เป็นตัวละครที่ต้องเสียใจกับเรื่องที่ตัดสินใจทำลงไปหลายครั้ง
แต่ก็ยังเลือกที่จะถือคติว่าถ้าไม่อยากทำก็อย่าทำ
นอกจากนั้นยังชอบความเป็นมนุษย์ธรรมดาในตัวโอมีจูมากๆ
เพราะแม้ว่าตัวมีจูจะเป็นคนค่อนข้างเถรตรง
แต่คนเรามันก็ต้องยอมกลืนน้ำลายในหลายๆ ครั้ง เพื่อให้เรื่องมันผ่านไป
ถ้าไม่นับเรื่องที่โอมีจูได้เจอคีซอนกยอม
ก็พบว่าตัวละครนี้ค่อนข้างรีเลทพวกเราในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งในสังคมแบบนี้
สังคมที่เราต้องยอมก้มหน้า เพื่อให้ทุกอย่างมันผ่านพ้นไปได้
ซอดันอา
เป็นผู้หญิงที่ขึ้นมารับและรักษาตำแหน่งประธานบริหารเอเจนซี่นักกีฬาด้วยการทำงานอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
ด้วยความเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากสังคมปิตาธิปไตยที่เข้มข้น
เลยดูเหมือนว่าเธอจะมีมุมมองที่น่าสนใจต่อเหตุการณ์หลายๆ อย่าง
มันอาจจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้เธอสนับสนุนการกระทำบางอย่างของซอนกยอมก็ได้
แต่ด้วยความที่ต้องพยายามปีนขึ้นมาขนาดนี้
เลยทำให้บุคลิกของซอดันอาก็อาจจะไม่ได้ดูเป็นที่น่าพึงพอใจเท่าไหร่ 55555
(ขอแวะออกนอกเรื่องหน่อย เราชอบซูยองเล่นบทนี้มาก คือตอนซูยองเล่น Tell Me What You Saw เมื่อตอนต้นปี 2020 ซูยองทำไว้ได้ดีมากสำหรับเรา
แล้วพอมาเห็นในลุคของซอดันอา
ซูยองก็ยังทำเราประทับใจอีกหนึ่งครั้งด้วยการตีความตัวละครซอดันอาออกมามีบุคลิกเป็นคนเก่งที่ไม่น่าคบหาได้น่าสนใจมาก)
จุดร่วมกันของตัวละครคือมีอุปสรรคบางอย่างที่ต้องแกล้งทำเป็นว่าไม่เป็นไรบ้างเพื่อก้าวข้ามมันไป
เพื่อวิ่งไปต่อข้างหน้า
และซีรีส์เลยได้พาเราเข้ามาร่วมตั้งคำถามไปพร้อมๆ กับการสำรวจตัวละครเหล่านี้ว่า
เราจำเป็นที่ต้องก้มหน้า อดทน รับความเจ็บปวด
ความไม่ยุติธรรมกับทุกเรื่องเพียงเพื่อให้มันผ่านไปจริงๆ เหรอ?
ตัวพลอตตั้งคำถามกับความปกติที่ไม่ปกติของสังคมผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ภายในเรื่อง
การพยายามซุกปัญหาทุกอย่างไว้ใต้พรม
ทั้งสังคมภายใต้ปิตาธิปไตยผสมปนเปกับสังคมลำดับอาวุโสที่มีกลิ่นชวนคลื่นเหียนตั้งแต่อีพีแรก
การกดขี่รุ่นน้องในทีมนักกีฬาด้วยลำดับอาวุโส
ความร้าวรานในครอบครัวที่ต้องแกล้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไร และ
อีกหลายเรื่องที่ต้องร่วมกันข่มเอาไว้ เพื่อคำว่า "ทุกอย่างจะได้ไปต่อ"
แม้ว่าเราเล่าออกมาแบบนี้แล้วจะดูไม่น่าพิสมัย
แต่ตัวซีรีส์ได้เลือกที่จะเล่าเรื่องแบบนี้ผ่านภาพมู้ดโทนสว่างราวกับพระอาทิตย์ในยามเช้า
และสกอร์สุดสดใส
ฉาบหน้าด้วยเรื่องราวความรักชวนลุ้นระหว่างคุณล่ามสาวกับคุณนักกรีฑาสุดหล่อ
เขาถ่ายทอดความผิดปกติผ่านความปกติออกมาได้เฉียบมาก เลยรู้สึกว่าเกินคาดมาก
เพราะตอนแรกไม่คิดว่าเนื้อหาซีรีส์จะมีโทนค่อนข้างจริงจังขนาดนี้
และยิ่งไปกว่านั้นตัวซีรีส์ก็ยังชวนให้เราสงสัยว่า
เราจำเป็นที่จะต้องซุกปัญหาไว้ใต้พรมทุกๆ เรื่องไว้เพียงเพื่อให้มันผ่านไปเหรอ
เราไม่สามารถหยิบเรื่องมาสะสางให้มันจบก่อนจะเดินไปต่อได้เหรอ
สิ่งที่น่าสนใจคือตัวซีรีส์ได้แสดงผลลัพธ์ของการสะสางปัญหาไว้ในหลายแง่มุมภายในสี่ตอนนี้ไว้ด้วย
หลังจากดูจบสี่ตอนแล้ว ก็ไม่รู็ว่าซีรีส์จะเดินต่อไปยังไง จะหักหัวขึ้น
หรือหักหัวลงก็ไม่รู้
เพียงแต่สี่ตอนแรกที่ได้ดูพบว่าเราได้ตกตะกอนอะไรบางอย่างเลยอยากมาแบ่งปันกัน
การตั้งชื่อเรื่องว่า RUN-ON นี่เหมาะสมกับเรื่องนี้มากจริงๆ
คนคิดชื่อเรื่องเก่งมาก เพราะคำนี้คำเดียวครอบคลุมเรื่องทั้งหมดได้เลย
----------------------------------------------------
คิดเห็นยังไงทิ้งคอมเม้นท์ไว้ด้านล่างได้เลยนะคะ ไปดูกันนะคะ
แสดงความคิดเห็น