MINARI เป็นหนังที่ว่าด้วยการตั้งรกรากของชาวเกาหลี-อเมริกันในรัฐอาร์คันซอช่วงปี 1980 ของครอบครัวอี ที่ทำมาหากินด้วยการคัดแยกเพศของลูกเจี๊ยบแต่ใฝ่ฝันอยากที่จะทำไร่สวนเป็นของตัวเองจึงย้ายจากแคลิฟอร์เนียมายังอาร์คันซอ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่กัน
"ต่อจากนี้ไปจะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องแน่เลยค่ะ ใครที่อยากไปดูเองอาจจะต้องระวังหน่อยนะคะ หรือไม่ก็ปิดบทความนี้ก่อนเลย เรากลัวจะทำให้หมดอรรถรสในการดูเหลือเกิน และมีการใส่ความคิดเห็นของเราเพิ่มเติมปะปนอยู่ด้วยนะคะ"
เป็นหนังสัญชาติ 'อเมริกัน' ทำโดยสตูดิโออเมริกันอย่าง A24
ที่เล่าเรื่องราวของคนเกาหลีที่ย้ายไปตั้งรกรากที่อเมริกา
ที่ต้องเผชิญหน้าความลำบากมากมายในการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้
โดยที่พวกเขาก็ได้แต่หวังว่ามันจะดีกับครอบครัวของพวกเขา
ทำให้ในหนังมีความเอเชียสูงมาก เป็นครอบครัวเอเชีย วัฒนธรรมเอเชีย
ความคิดแบบเอเชียจ๋าๆ ในเรื่องครอบครัว
จะสะท้อนภาพปิตาธิปไตยที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว
เพราะความใฝ่ฝันที่จะต้องการตั้งรกรากใหม่
ประกอบอาชีพมีธุรกิจเป็นของตัวเองเพื่อเป็นที่พึ่งพิงหลักให้กับครอบครัวเลยทำให้
เจค็อบตัดสินใจจะย้ายครอบครัวมาในที่ที่ดินดีที่สุดในอเมริกาเพื่อที่จะเริ่มทำสวนพืชผักเกาหลี
ด้วยสังคมเอเชียและปิตาธิปไตยที่กดทับไว้
แม้กระทั่งในอเมริกาตรงนี้ก็ยังไม่ได้สลัดหลุดได้ง่ายๆ
เหมือนที่เขาสอนเดวิดว่าผู้ชายต้องทำอะไรสักอย่างให้มีคุณค่า
เพราะถ้าไม่งั้นก็จะโดนคัดทิ้งเหมือนลูกเจี๊ยบตัวผู้ ที่ทำอะไรไม่ได้
เนื้อก็ไม่อร่อยอีกต่างหาก
และนั่นทำให้เจค็อบรู้สึกกดดันเป็นอย่างมากในการที่ต้องทำสวนนี้ให้สำเร็จ
เขาจะล้มเลิกกลางคันไม่ได้ เขาควรจะต้องทำมันสำเร็จ
เพื่อให้ลูกเห็นภาพเขาที่ประสบความสำเร็จตรงนี้
และนั่นทำให้เขาพยายามกับไร่สวนจนละเลยกับความรู้สึกบางอย่างไป
เจค็อบเป็นคนที่เต็มไปด้วยอีโก้แบบผู้ชายในสังคมเอเชีย
ที่รู้สึกว่าเราต้องใช้เหตุผล ต้องมีความคิดวิทย์ๆ (โอ๊ย
เหมือนพวกวิศวะเบียวๆ อะนะ 55555) เลยทำให้เขาไม่ค่อยเชื่อในเรื่องของเซนส์
หรือความเชื่อเท่าไหร่ เห็นได้จากฉากหาน้ำ ที่จ้างคนมาหาน้ำ
ที่เขาตัดสินใจจะหาเองจากทฤษฎีที่เขาคิดว่าเป็นไปได้มากกว่าพึ่งพาความเชี่ยวชาญที่ดูงงๆ ของคนในพื้นที่ (เอาจริงๆ เพราะมันต้องเสียเงินด้วยส่วนหนึ่ง)
ในความคิดเห็นส่วนตัวของเรา คิดว่าน่าจะบอกถึงความคิดของเจค็อบได้ดี
ว่าด้วยเป็นเอเชียนในดินแดนตะวันตก อาจจะต้องทำให้เขาต้องพยายามทำตัว Globalize
เพื่อให้สังคมยอมรับ
เอาจริงๆ การที่เจค็อบตัดสินใจไม่เสียเงิินแต่หาน้ำด้วยตัวเองนี่โคตรจะเอเชีย
(ชวนให้เราคิดถึงพ่อเรามากๆ 55555) มันเป็นความรู้สึกว่า
เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าเขาทำได้ ทำไมจะต้องไปเสียเงินกับเรื่องพวกนี้ด้วย
แบบเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย แต่จริงๆ แล้ว น้ำมันคือรากฐานของการทำไร่
ซึ่งในที่นี้คือการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของครอบครัวอีเพราะฉะนั้น
ถ้ามันเริ่มต้นแบบไม่มั่นคง ก็จะพบปัญหาตามมาดั่งที่เราจะได้พบเจอในเรื่อง
และพอมันจบด้วยการจ้างคนในพื้นที่คนนั้นมาหาน้ำ เหมือนมันปลดล็อกในที่สุดอะ
ว่าต่อจากนี้ไป ครอบครัวนี้จะเริ่มต้นแบบมั่นคงแล้ว
ความสัมพันธ์ของเจค็อบกับโมนิก้าที่ดูเหมือนว่าจะระหองระแหงเนื่องด้วยความคิดที่ไม่ตรงกัน
และเราว่าความปิตาธิปไตยในวัฒนธรรมเอเชียมันกดทับทั้งคู่เอาไว้
เราจะได้เห็นผ่านไดอะล็อคเวลาที่เขาทั้งคู่มีปากเสียงกันและกัน
เช่นการที่เจค็อบส่งเงินกลับบ้านในฐานะลูกชายของที่บ้าน เพื่อให้ที่บ้านสุขสบาย
เพราะในฐานะลูกชายที่มาทำงานในต่างประเทศเจค็อบก็อาจจะโดนคาดหวังมากกว่า
ไหนจะวัฒนธรรมครอบครัวสามีในสังคมเกาหลีอีก
เรื่องนี้อาจจะไม่ได้สื่อแบบคิมจียองในแง่พบปะกับครอบครัวของเจค็อบ
แต่เป็นในแง่ที่เจค็อบต้องดูแลที่บ้านในฐานะลูกชาย
แต่ตัวโมนิก้าไม่เคยได้ส่งเงินให้แม่เลย
แม้กระทั่งแนวคิดผู้นำครอบครัว
ที่เจค็อบตัดสินใจเองคนเดียวที่จะย้ายมาทำรกรากที่นี่ ต้องทำฟาร์มสำเร็จ
นู่นนี่ แต่ตัวโมนิก้าไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดๆ
รู้ตัวอีกทีก็เห็นบ้านที่ตั้งอยู่บนล้อซะแล้ว เอาจริงๆ เราว่าเราไม่ค่อยได้เห็นเจค็อบตัดสินใจร่วมกับโมนิก้าสักเท่าไหร่ในเรื่อง
มันเลยอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนทั้งคู่ดูจะขัดแย้งกันไปตลอด
เพราะจุดยืนที่ต่างกัน อย่างโมนิก้า รู้สึกให้ค่ากับคำว่าครอบครัว
ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงเราก็จะอยู่ด้วยกัน ไปพร้อมๆ กัน
เพราะในมุมมองของเจค็อบ ก็รู้สึกว่าเขาต้องประสบความสำเร็จเพื่อครอบครัว
และตัวเขาจะได้เป็นแบบอย่างให้ลูก เป็นช้างเท้าหน้า ผู้นำครอบครัวประมาณนี้
หรือในตอนที่เจค็อบตัดสินใจบอกโมนิก้าว่าจะแยกกันอยู่ก็ได้นะ
เราว่ามันก็เป็นความนึกคิดที่มาจากเขาเพียงฝ่ายเดียว
เวลาดูเลยสงสารที่โมนิก้าดูจะไม่ได้มีปากมีเสียงในบ้านเท่าไหร่นัก
ในตอนท้ายๆ ที่เราได้เห็นเธอระเบิดอารมณ์ออกมาเราคิดว่ามันพอจะเข้าใจได้
เพราะในมุมมองของโมนิก้า
อีโก้และความทะนงตัวที่จะเป็นผู้นำครอบครัวของเจค็อบมันดูจะบดบังความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นครอบครัว
เรียนรู้ร่วมกันไป
การย้ายเข้ามาที่ใหม่ที่อะไรๆ ก็ดูจะไม่ได้ดั่งใจเธอเหลือเกิน โมนิก้า อี
หญิงสาวผู้รับบทบาทเป็นแม่ในครอบครัวอี
รู้สึกไม่พอใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นว่าต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากความเจริญราวกับเป็นพื้นที่รกร้างทั้งที่ลูกของเธอเป็นโรคหัวใจ
บนบ้านที่ตั้งอยู่บนล้อ แค่นั้นดูเหมือนจะยุ่งเหยิงไม่พอ
พวกเธอยังคงเจอพายุทอร์นาโดตั้งแต่คืนแรกที่ย้ายเข้ามา
ทำให้บ้านที่สร้างอยู่บนล้อดูจะไม่ปลอดภัยสำหรับสี่ชีวิตนี้
เธอเป็นคุณแม่ที่เราจะพบได้ตามครอบครัวเอเชียจริงๆ นั่นแหละ
คุณแม่ผู้มองเห็นครอบครัวสำคัญที่หนึ่ง
อยากจะทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวตั้งรกรากอย่างแข็งแรง
ตอนที่เธอให้เดวิดขอพรจากพระเจ้าให้หายป่วยนี่คือให้ความรู้สึกนึกถึงแม่เรามาก
(เนื่องจากว่าก่อนเขียนบทความนี้ประมาณอาทิตย์นึง แม่พาเราไปไหว้พระขอที่วัดดังมา
เลยรู้สึกรีเลทเลย พอเขียนถึงเรื่องนี้ 55555)
เราว่าโมนิก้าดูจะใช้ชีวิตเป็นไปตามขนบของผู้หญิงเอเชียในสังคมปิตาธิปไตยค่อนข้างมาก
ทั้งหน้าที่ในการทำงานบ้าน การยกให้สามีตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ อย่างการย้ายถิ่นฐาน
หรือจะเป็นการโหยหาคอมมูนิตี้เอเชีย
เพราะแม้ว่าจะไปโบสถ์แต่เพื่อนชาวเมกันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกคอมฟอร์ทอยู่ดี
แต่เราชอบมากการที่ตัวโมนิก้าเปิดใจรับความหวังดีของพอล
เพื่อนร่วมงานที่ดูจะแปลกตาสักหน่อยของเจค็อบ
ที่อาสามาช่วยเจิมบ้านเผื่อว่าจะไล่ภูติผี ปัดเป่าความโชคร้ายในบ้านออกไปได้
เราว่ามันยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงการที่โมนิก้ามี Priority เป็นครอบครัวอันดับหนึ่ง
เรารู้สึกว่านี่โคตรจะสะท้อนความคุณแม่ในสังคมเอเชียเลย
เธอผู้ยอมทำทุกอย่างให้ครอบครัวเจอแต่เรื่องดีๆ
เราจะไม่ค่อยเห็นโมนิก้าพูดถึงความฝัน
หรือความต้องการในแง่มุมที่เป็นตัวเองเท่าไหร่ ซึ่งเราว่านี่ก็เป็นอีกอย่าง
สังคมเอเชียในหลายๆ ที่ดูจะผูกมัดความสำคัญของเราไว้กับครอบครัว
มันเลยทำให้โมนิก้าดูจะเป็นคนแบบนั้น
ทั้งๆ ที่ตัวโมนิก้าจะดูเป็นผู้หญิงที่อยู่ในขนบของสังคมเอเชียค่อนข้างมาก
แต่แม่ของเธอกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น
อาจจะด้วยว่าเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกคนเดียวมาตั้งแต่สามีตายหลังสงคราม
และต้องใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายย้ายมาอยู่อเมริกาเพื่อดูลูกให้ลูกสาว
เราค่อนข้างทำให้ตัวคุณยายซุนจาเป็นยายที่ดูจะไม่เป็นยายสักเท่าไหร่ในสายตาของหลานชายอย่างเดวิด
ตัวของซุนจา เป็นคุณยายสุดเฟี้ยวที่ชวนหลานวัยไม่เกิน 15 เล่นไพ่นกกระจอก
นั่งดูมวยปล้ำ ใส่กางเกงในผู้ชาย อบคุกกี้ไม่ได้ ทำอาหารไม่เป็น
(อิงจากบริบทในเรื่องที่ตัวละครบอก
และเราไม่เห็นฉากตัวคุณยายทำอาหารเลยสักครั้ง)
สำหรับเรา คุณยายซุนจาเหมือนถูกวางมาเป็นสร้างคอนฟลิกให้กับตัวละครในเรื่อง
การเข้ามาของเธอดูจะเป็นปัญหาในหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะกับเดวิด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป และเรื่องราวต่างๆ ได้ดำเนิน
ตัวละครตัวนี้ก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในท้ายที่สุด
คุณยายซุนจาเป็นตัวละครสำคัญที่กลายเป็นที่พักพิงทางใจ
เป็นน้ำใสไหลเย็นคอยปลอบประโลมใจให้กับคนในบ้าน
เหมือนมาคอยสมานความสัมพันธ์ของคนในบ้านเข้าไว้ด้วยกันด้วยพลังบางอย่างที่เธอนำพามาจากเกาหลี
มันอาจจะเป็นความเกาหลีในตัวเธอที่ทำให้คนในครอบครัวรู้สึกสบายใจ
เหมือนได้เข้าใกล้แผ่นดินเกิดที่ไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยียนเป็นเวลานาน
เราชอบการที่สุดท้ายแล้วไม่มีใครโทษคุณยายเลย เราไม่ได้เห็นอาการหงุดหงิด
หรือพูดถึงคุณยายในแง่ที่ไม่ดี
กลับกันหนังยังทำให้เราเห็นภาพที่เจค็อบพาเดวิดไปเก็บมินาริที่คุณยายเอามาปลูกที่ข้างริมธาร
ราวกับว่าน้อมรับความหวังดีของคุณยายที่หอบหิ้วมาฝากจากเกาหลีไว้
เป็นอะไรที่ชวนอบอุ่นหัวใจมาก
เดวิด ลูกชายคนสุดท้องที่ไม่เคยเลยที่จะไปเหยียบประเทศเกาหลี
แต่นางเหม็นกลิ่นสาบเกาหลีของยายๆ ได้นะ 55555555
มีความอเมริกันที่สุดในบ้านแล้วนะเราว่า เป็นตัวละครที่ทั้งแสบสันจนอยากจะตี
และชวนเอาใจช่วยให้น้องผ่านกับเรื่องราวร้ายๆ ไปเหมือนกัน
ด้วยการที่ตัวเองป่วยเป็นโรคหัวใจ เลยทำให้ตัวน้องถูกจับจ้องตลอดเวลา
ไม่ว่าจะทำอะไร ทั้งพ่อแม่ และพี่สาวที่เป็นห่วง
ไม่อยากให้ทำอะไรหนักๆ เพราะกลัวหัวใจจะหยุดเต้นด้วยแล้ว
ยิ่งทำให้เรารู้สึกอึดอัดแทนเดวิดเข้าไปใหญ่
น้องถูกบีบบังคับให้ใช้ชีวิตในมุมมองที่พ่อแม่เห็นว่าควรจะเป็น
มองว่าตัวเองอ่อนแอมาตลอดตามคำพูดของพ่อแม่ (อันนี้เป็นการตีความจากคนอื่น ----
ถ้าสังเกตในหนังจะใช้รองเท้าบูธเป็นการควบคุมพฤติกรรมของเดวิดในการเดินวิ่ง
ซึ่งนั่นทำให้เราเห็นแล้วยิ่งรู้สึกว่าน้องเหมือนถูกจำกัดขีดความสามารถ
และเป็นที่จับตามองของพ่อแม่อยู่ตลอดเลย)
แต่เมื่อเจอคุณยายที่บอกกับเดวิดว่า 'เดวิดเป็น Strong Boy นะ'
แบบลองทำนั่นดูสิ ลองทำนี่ดู
กลายเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ความสัมพันธ์ยายหลานดีขึ้นมากๆ
คุณยายกลายเป็นคนมอบความเชื่อมั่นให้เดวิดจนในตอนสุดท้ายแล้วเดวิดก็เริ่มวิ่งจริงๆ
แน่นอนว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะคลิเช่ และไม่ได้เกินคาดเราเท่าไหร่
แต่ด้วยโทนเรื่องที่เล่ามาทั้งหมด มันทำให้เรารู็สึกคอมพลีทมากๆ
ตอนได้เห็นเดวิดออกวิ่ง ราวกับว่ามันปลดล็อกทั้งเดวิด
และคนดูแบบเราๆ ที่เอาใจช่วยตัวละครตัวนี้มาตลอด
และตัวละครที่ดูจะจางมากในสายตาคนดูหลายคนอย่างแอนน์
เป็นตัวละครที่เราชอบมากอีกตัว
คือเป็นตัวละครที่สะท้อนสังคมครอบครัวเอเชียจริงๆ อะ ในฐานะพี่สาวคนโต
ที่น้องชายป่วยเป็นโรคหัวใจ มันก็จะจางหน่อยๆ แบบนี้แหละ
สำหรับเราเขาเล่นเป็นแอนน์ออกมาได้มีเสน่ห์มาก
โดยส่วนตัวเราชอบฉากที่ตัวแม่กับแอนน์คุยกัน
ที่แม่ขอบคุณที่แอนน์คอยดูแลเดวิดมาตลอดในช่วงเวลาที่ที่บ้านวุ่นวายจนแม่กับพ่อไม่สามารถดูแลน้องได้
เรารู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก ว่าอย่างน้อยๆ ที่บ้านก็ไม่ได้ทอดทิ้งความรู้สึกแอนน์
ชอบการที่แอนน์ดูจะไม่เป็นปฎิปักษ์ต่อยาย
แต่มันก็จะมีความไม่ลงรอยเล็กๆ บางอย่าง ที่เหมือนเพราะเป็นคนละเจน
และต่อให้เติบโตขึ้นมาในครอบครัวเอเชีย
แต่ตัวแอนน์ก็ยังเติบโตมาในอเมริกันมันก็จะยังมีคอนฟลิก
หรือความเป็นเอเชียบางอย่างที่แอนน์ไม่เข้าใจยาย
ความสัมพันธ์สองพี่น้องนี้น่ารักมากเลย
มันมีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่เราได้เห็นตัวละครสองตัวนี้แสดงออกมาที่มีความสนิทสนมเปิดใจคุยกันอยู่ในนั้น
ในเรื่องราวความเป็นไปของครอบครัวพวกเธอ เช่นการย้ายกลับแคลิฟอร์เนีย
หรือตั้งใจจะอยู่ต่อ หลายๆ อย่างที่ทั้งคู่เอามาปรึกษากันไรงี้
เราว่าแอนน์ก็ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของน้อง
แม้ว่าเธออาจจะดูจุกจิกหรืออะไรงี้ไปบ้างเพราะภาระที่ต้องดูแลน้องมันก็ใหญ่เกินตัวเธอเหมือนกัน
ระหว่างสองคนนี้ นอกจากฉากสนทนากันเล็กๆ เรื่องแล้ว
ฉากที่เราชอบมากๆ ฉากหนึ่งคือฉากที่ลูกๆ พยายามหยุดพ่อแม่ที่โต้เถียงกันอย่างหนักด้วยจรวดกระดาษที่เขียนว่า
Don't Fight เราว่ามันเป็นกิมมิคที่น่ารักดี
แบบว่าลูกๆ ในครอบครัวเอเชียก็ไม่ใช่เด็กๆ ที่จะกล้ามีปากมีเสียงกับพ่อแม่เท่าไหร่นัก
แต่ก็ยังมีความแบบ เราพยายามจะบอกพวกคุณนะ เป็นการแก้ปัญหาในแบบของลูกๆ
ชอบการพูดถึงศาสนาในเรื่องที่ใช้ศาสนาเพื่ออธิบายในการรวมตัวของกลุ่มคน
หรือในแง่ของความศรัทธาก็ดี
เราว่าการพูดถึงศาสนาในแง่ของการรวมตัวหรือพูดถึงการไปโบสถ์เพื่อทำความรู้จักกับคนได้น่าสนใจ
แล้วเพื่อนที่ไปดูด้วยกัน ก็บอกออกมาเลยว่า เออตอนเข้าไปอยู่ที่นู้น
มันก็ต้องรู้จักคนจากการเข้าโบสถ์จริงๆ นั่นแหละ
นอกจากเรื่องความสัมพันธ์จากโบสถ์แล้ว
หนังยังพาเราไปตั้งคำถามเล็กๆ เกี่ยวกับการที่คนในโบสถ์คริสต์เรียกคนแบบพอลที่แบกกางเขนไปทั่วในวันอาทิตย์
และพึมพำบทสวดอยู่เสมอๆ ว่านอกรีต
ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาก็นับถือเยซูคริสต์มากเหมือนกัน
สำหรับเรานั่นอาจจะทำให้พอลก็รู้สึกเป็นคนอื่นหรือเปล่านะ
และอาจจะเป็นเหตุผลที่พอลดูจะเข้ากับครอบครัวที่ดูจะแปลกแยกจากคนอื่นอย่างครอบครัวอีได้ดี
เราชอบบทเรื่องนี้มากกว่าที่คิดไว้อีกพอมานั่งตกตะกอนแล้ว
เรารู้สึกว่ามันน่าสนใจดีที่คำพูดหรือการกระทำที่ดูจะเรื่อยเปื่อยในเรื่องเป็นการบอกใบ้ถึงสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปได้น่าสนใจ
เช่นคำพูดที่ยายเป็นคนชวนให้เดวิดวิ่ง
และในท้ายที่สุดเดวิดก็วิ่งเพื่อยายจริงๆ หรือจะเป็นคำพูดที่ว่า 'สิ่งที่อันตรายปรากฎให้เห็นดีกว่าหลบซ่อนไว้'
แล้วคุณยายอยู่ดีๆ ก็ป่วยจนเข้าโรงพยาบาล
เราชอบการที่เขาใช้ไดอะล็อคเพียงไม่กี่คำในการอธิบายสถานความสัมพันธ์
หรือพื้นเพของตัวละครในเรื่องได้อย่างน่าสนใจ
สิ่งที่ผิดคาดนิดหน่อยคือการที่เราคาดหวังจะได้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวอีกับชาวเมกันในเมืองมากกว่านี้หน่อย
แต่ก็คิดว่าพอจะเข้าใจได้ เพราะรู้สึกเป็นอื่นด้วยมั้ง
ก็เลยเลือกจะอยู่ในพื้นที่เซฟโซนของตัวเอง
และเนื่องด้วยทำธุรกิจเป็นการปลูกพืชผักเกาหลีก็ยิ่งทำให้ดูจะตัดโอกาสการปฏิสัมพันธ์กับคนในพื้นถิ่นไป เหมือนฉากที่ไปโบสถ์ก็พบว่าทั้งตัวเจค็อบและโมนิก้าเลือกที่จะปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เยอะ
ต่างจากลูกๆ ของพวกเขาที่เริ่มทำความรู้จักกับเด็กๆ ชาวเมกัน
อาจจะด้วยการเติบโตที่ต่างกันด้วย ลูกๆ อาจจะรู้สึกเป็นอื่นน้อยกว่าพ่อแม่
เพราะเขาเกิดและเติบโตที่นี่
เราชอบเขาลำดับเรื่องแบบนี้มากๆ
เริ่มจากการใส่อุปสรรคมากมายที่ครอบครัวต้องเผชิญในการตั้งรกรากใหม่
ทั้งการเจอทอร์นาโด การทำไร่ที่เต็มไปด้วยปัญหา
แม้จะได้ผลผลิตแล้วร้านที่ดีลไว้ก็ยกเลิก
แม่ที่มาจากเกาหลีก็ป่วยจนต้องเข้ารับการรักษา
ราวกับว่าจะมีความซวยเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ก็ปิดท้ายไว้ด้วยความหวังที่สวยงาม
เปรียบชีวิตของคนผลัดถิ่นชาวเอเชียนที่ไปตั้งรกรากในอเมริกันเป็นดั่งมินาริ
ที่จะเบ่งบานเมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะสม ข้างๆ แหล่งน้ำที่ดี และอดทนฝ่าฝันไปได้
(เราว่าการที่เริ่มต้นด้วยการหาน้ำของพระเอก
ที่ตัดสินใจหาเองอาจจะเทียบเคียงกับอันนี้ก็ได้นะ
แบบว่าถ้าเราหาแหล่งน้ำที่ถูกวิธีตั้งแต่แรกชีวิตมันก็คงมีทางไปที่งดงามกว่านี้
แต่ก็ทำครั้งแรกใครมันจะไปรู้กัน) สอดคล้องกับเพลงท่อนที่เดวิดร้องว่า MINARI
MINARI WONDERFUL WONDERFUL อาจจะหมายถึงว่าการเป็นพืชพันธุ์แบบมินาริน่ะ
มันสุดแสนจะวิเศษที่สุดแล้ว
ราวกับจะปลอบประโลมคนที่ต้องเริ่มตั้งรกรากใหม่ในต่างแดนว่า
สักวันหนึ่งจะเบ่งบานราวกับมินาริริมธารของคุณยายซุนจานะ
----------------------------------------------------
เขียนบทความนี้ไป เปิดยุนสเตย์ไป หิว 55555555
ถ้าเขียนตรงไหนอ่านไม่รู้เรื่อง หรือวกวนยังไงต้องขอโทษด้วยนะคะ เราจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในบทความถัดๆ ไปค่ะ
ขอบคุณมากเลยนะคะที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ถ้าคิดเห็นอย่างไรทิ้งคอมเม้นท์หรือแวะไปพูดคุยกันในทวิตเตอร์ได้เลยนะคะ
แสดงความคิดเห็น