[รีวิวซีรีส์] The Smile Has Left Your Eyes เพราะชีวิตคือเรื่องของจังหวะ


The Smile Has Left Your Eyes คือซีรีส์ที่มีคนขายเรามาตลอด แบบว่าตลอดจริงๆ แต่คนที่ขายก็คือคนหน้าเดิมๆ แอคทวิตเตอร์แอคเดิมๆ และแม่เราที่ก็ขายไม่หยุดหย่อน (ทั้งที่ตัวเขาก็ไม่ได้ชอบมันมากขนาดนั้น แต่เขาคิดว่าเราน่าจะชอบมัน) และในที่สุดเราก็ได้ฤกษ์ดูมันสักที ซึ่งพอดูจบแล้วพบว่าเราอึ้ง พูดอะไรไม่ออกเลย


บทความต่อจากนี้ไป จะเป็นการที่เราไม่รู้เลยว่าเราจะพูดอะไรแบบเรื่องอื่นๆ ไหม เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราได้รับจาก The Smile Has Left Your Eyes คือการที่ซีรีส์พาอารมณ์เราวิ่งขึ้นลงเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ ที่พอถึงจุดนึงมันหักหัวลงเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีเราก็ไปแตะอยู่ขอบปากเหว ก่อนจะพาเรากระโดดลงเหวที่เหมือนมีก้นหลุมอยู่ที่ระยะทางอนันต์ มันเป็นความรู้สึกเคว้งคว้าง ว่างเปล่าและแตกสลายที่ไม่มีที่สิ้นสุด (โอ๊ย อ่านมาถึงตรงนี้คงคิดว่าเรามันจะเว่อร์อะไรขนาดนั้นใช่ไหมคะ ตอนพิมพ์ก็คิดแบบนี้เหมือนกันค่ะ lol)  อวยกันมามากพอแล้ว ทุกคนคงงงว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไร เอาละค่ะ เดี๋ยวเราจะเล่าเรื่องย่อให้ได้อ่านกัน


The Smile Has Left Your Eyes เป็นซีรีส์ Remake ญี่ปุ่นที่เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์อันแสนยุ่งเหยิง (เสียยิ่งกว่าสายหูฟังที่พันกันอยู่ในกระเป๋า) ของคนสามคน เริ่มด้วยยูจินกุก นักสืบที่อยากจะลาออกเต็มที แต่กลับต้องเข้ามารับผิดชอบคดีฆาตกรรมหญิงสาว โดยที่ตัวจินกุกเองก็สงสัยในตัวคิมมูยอง พระเอกของเราจะเป็นฆาตกร หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีในครั้งนี้ และยูจินคัง น้องสาวแสนรักของยูจินกุก ที่เขาได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอออกจากเรื่องราวอันเลวร้าย และหนึ่งในนั้นคือคิมมูยอง ผู้ต้องสงสัยที่เข้ามาข้องแวะกับน้องสาวของเขาอยู่ตลอด

เรามารู้จักตัวละครกันก่อนดีกว่าค่ะ จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันแสนยุ่งเหยิงพวกนี้

ยูจินกุก พี่ชายแสนดี ที่ดูจะเป็นห่วงน้องสาวมากๆ เป็นตัวละครที่ดูจะเก็บงำบาดแผลบางอย่างไว้ตลอดเวลาเลย

คิมมูยอง พนักงานร้านเบียร์ ผู้ชายผมแดง (โอ๊ยพี่ซออินกุกเขาเข้ากับสีแดงทุกตรงนะคะ) ที่มีคาแรคเตอร์แปลกตา ใช้ชีวิตอย่างไร้ซึ่งความยับยั่งชั่งใจ แลบ้วยังเป็นคนมีความพิเศษทางสมองอยู่หนึ่งอย่าง คือเป็นคนที่ความจำดีมากๆ

ยูจินคัง หญิงสาวผู้เป็นที่รักของคนทั้งเรื่อง ที่มีบุคลิกที่แสนจะสดใส แต่ติดอยู่ในความทุกข์จากการที่พ่อแม่จากไปเนื่องด้วยอุบัติเหตุ

The Smile Has Left Your Eyes เป็นซีรีส์ที่หลอกเราด้วยภาพลักษณ์ที่ดูจะแสนสบายตา เรื่องราวความรักของคนทั้งคู่ที่ตัวนางเอกออกจะมีพี่ชายขึ้หวงไปสักหน่อย หรืออาจจะมีเรื่องราวคอนฟลิกระหว่างผู้หญิงสองคนกับพระเอกของเรา ถ้าคุณคิดแบบนั้นแสดงว่าคุณ... คิดผิดค่ะ! หน้าทีเซอร์มันหลอกเราได้อยู่หมัด ไวบ์ที่ดูเรื่อยๆ เอื่อยๆ ทำให้เราเข้าใจว่ามันก็คงเป็นหนังรักๆ เรื่องหนึ่งที่ปลายทางก็คงจบแบบโรแมนซ์ทั่วไป แต่ไม่ใช่เลยค่ะ เพราะตัวละครที่ถูกวางมาอย่างดีทำให้ตัวละครเต็มไปด้วยความซับซ้อนแบบเกินคาด เขาพาเราจมดิ่งไปกับตัวละครที่มีไม่เยอะนี่ได้ดีมาก ทั้งการเล่าเรื่อง และเทคนิคภาพต่างๆ มันชวนให้เราร่วมรู้สึกไปด้วยกันเหลือเกิน มันขนาดที่ว่า ตัวเราที่รู้เรื่องราวบางส่วนอยู่ก่อนแล้วตอนดูก็ยังอดอึ้งไม่ได้


คิมมูยอง พระเอกของเราที่ทำงานอยู่ในร้านเบียร์ เป็นพวกพัฒนาสูตรเบียร์ ที่ดูจะเพลย์บอยเอามากๆ แล้วก็ดูจะเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษคือสามารถจดจำสิ่งของต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ และนั่นทำให้เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่งในคดีฆาตกรรมสายตาของนักสืบอย่างยูจินกุก นอกจากนั้นแล้ว เขายังเปิดตัวฉากแรกในเรื่องด้วยการเป็นหนุ่มคาแรคเตอร์แปลก เจ้าเสน่ห์ที่เป็นแฟนกับเพื่อนนางเอกอย่างแบคซึงอา ที่ก็หลงรักมูยองแบบหหัวปักหัวปำ ทุกอย่างดูยุ่งเหยิงตั้งแต่เริ่มต้นเลยละค่ะ

มูยองเป็นตัวละครที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตอยู่แล้ว เลยทำให้เขามีบุคลิกที่ค่อนข้างจะพิเศษมาก และทำให้เขาเป็นตัวละครที่ลึกมาก และอ่านยากมากที่สุดในเรื่องภายใต้รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรเชื้อเชิญให้เราอยากจะรู้จักกับคนคนนี้กลับเต็มไปด้วยบุคลิกที่ไม่มีความกลัวต่ออะไรทั้งสิ้น ไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจใดๆ เป็นคนกล้าได้กล้าเสียจริงๆ และชวนทำให้เราตั้งคำถามกับบุคลิกแบบนั้นของเขามาตั้งแต่ต้น


และนั่นทำให้คิมมูยองเป็นตัวเอกที่บุคคลิกอันตรายมากที่สุดเรื่องหนึ่งที่เราเคยดู เป็นบุคลิกในแบบที่ว่าถ้าเราเป็นคนนอกเราคงจะบอกกับตัวเองว่าเราคงไม่ไปยุ่งกับคนแบบนี้ แต่เมื่อไหร่ที่ตกบ่วงเขาไปแล้ว แบบแบคซึงอา หรือตัวยูจินคัง เราก็คง Obsessed จนหาทางออกไม่ได้จริงๆ


เพราะเป็นคนที่คาดการณ์อะไรไม่ได้เลย เลยทำให้มูยองเป็นคนที่เราจะเข้าใจยากที่สุด เพราะไม่เข้าใจในกระบวนการคิด หรือการกระทำใดๆ อย่างในเรื่องตอนที่อยากเลิกกับเพื่อนนางเอก เพราะชอบนางเอกแล้วจะเลิกก็คือเลิกเลย เราว่ามันเป็นบุคลิกที่ประหลาด และชวนปวดหัวเอามากๆ แล้วยิ่งเป็นแบบนี้เวลาอยากได้อะไรสักอย่างเขาก็จะทุ่มสุดตัวมาก และจินคังก็เป็นหนึ่งในนั้น มูยองคือคนที่คลั่งรักจินคังอย่างแท้จริงเลยอะค่ะ


ความซับซ้อนของมูยองอธิบายยากมาก ตัวละครนี้อธิบายเป็นตัวหนังสือยากที่สุดเลยอะ เราว่ามันมีการกระทำ หรือไวบ์บางอย่างที่เราไม่รู้จะพูดยังไง แต่คือต้องดูมันถึงจะสัมผัสได้ว่าเป็นคนแบบนี้ แล้วเราประทับใจการพัฒนาของตัวมูยองมากๆ แต่ในจุดที่ตัวละครพัฒนาก็เจอกับขวากหนามอันใหญ่ที่พร้อมจะทำให้เขาแตกสลายซ้ำ และนั่นยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวละครตัวนี้มันยากมากจริงๆ ต่อความเข้าใจ เพราะพอเขาเริ่มจะเป็นมนุษย์มากขึ้น ก็เหมือนกับเขาต้องเผชิญกับเรื่องราวที่ชวนใจสลายมากขึ้น


เราประทับใจมากๆ ที่ซออินกุกถ่ายทอดความเป็นมูยองออกมาได้เนี้ยบและละเอียดขนาดนี้ เขาใส่ดีเทลบางอย่างในตัวมูยองลงไป ที่เราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง คือต้องไปดูจริงๆ ว่าเขาเล่นยังไง แล้วเขาคงบรรยากาศรอบตัวเก่งมาก และส่งอารมณ์มายังคนดีเก่งมาก โอ๊ยอยากสรรเสริญ แววตาคู่นั้น ท่าทางแบบนั้น คือดูแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมตัวละครมัน Obsessed ในตัวคิมมูยองจังนะ


ตัวละครถัดมาที่จะพูดถึงคือ ยูจินคัง นางเอกของเราที่ได้คุณจอนโซมินมารับบทนี้ ยูจินคังคือหญิงสาวที่เป็นที่รักของผู้ชายสองคนในเรื่องเป็นอย่างมาก ทั้งตัวพี่ชาย ที่รัก และคอยปกป้องเธอมาตลอก พร้อมจะช่วยเธอในทุกๆ อย่าง และตัวคิมมูยอง ที่ชอบเธอขนาดที่สามารถบอกเลิกกับเพื่อนเธอได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไร เพราะชอบเธอมาก


ยูจินคังเป็นตัวละครที่สว่างสไสวที่สุดในเรื่อง ราวกับเป็นพระอาทิตย์ในยามเช้า ความสดใสของเธอได้สว่างเข้าไปถึงในใจอันแสนจะเย็นชาของมูยอง และน่าจะเป็นพระอาทิตย์ดวงเดียวในชีวิตของยูจินกุกพี่ชายของเธอเช่นกัน ความเป็นมนุษย์ของจินคังทำให้เราคนดูรู้สึกรีเลทกับเธอได้ไม่ยาก แม้จะมีหลายๆ อย่างในตัวจินคังที่เราหงุดหงิด แต่เราก็จะเข้าใจเธอในท้ายที่สุดนะ


การรู้จักกับคิมมูยองและการที่ต้องได้รับรู้ความจริงมากมายเกี่ยวกับตัวเองก็ค่อยๆ ลดความสดใสในตัวเธอลงเรื่อยๆ น่าจะเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้เราได้เห็นคาแรคเตอร์จินคังเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จะค่อยเปลี่ยนจากผู้หญิงแสนสดใส กลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา


จอนโซมินคือตัวเลือกที่ดีมากสำหรับบทนี้ เราชอบความสดใสของเธอในพาร์ทเริ่มต้นมาก ความสดใสของจินคังที่จอนโซมินแสดงออกมาสะกดเราอยู่เลย เราอาจจะมีหลายอย่างที่รำคาญตัวละครจินคังไปบ้าง แต่เรื่องราวความสดใสของจินคังในอีพีแรก ในตอนที่รักกับมูยอง และความหม่นหมองในตอนสุดท้ายที่เขาแสดงออกมาเป็นภาพที่น่าจดจำมาก


ยูจินกุก ที่ได้คุณพัคซองอุงมาร่วมตีความตัวละครตัวนี้ ภายใต้ภาพลักษณ์สบายๆ สายสืบไม่เอาไหนที่อยากลาออกจากงานเต็มที กลับต้องเข้ามาตามสืบคดีฆาตกรรมนักศึกษาสาวย่านมหาลัย ที่ดูจะหมกมุ่นกับการสงสัยพระเอกของเราเหลือเกิน นอกจากนั้นแล้วอีกบทบาทหนึ่งก็คือเป็นพี่ชายที่ดูจะตามใจน้องในทุกๆ อย่าง และก็พยายามจะปกป้องน้องสาวอย่างยูจินคังไว้ทุกวิถีทางด้วย


สำหรับเราตัวละครยูจินกุก คือตัวละครที่รับภาระหนักมากที่สุดในเรื่อง เพราะรู้ทุกเรื่องแต่ไม่สามารถจะก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดตรงนั้นได้ เลยไม่กล้าที่จะพูดเรื่องราวพวกนี้ให้ใครฟัง เลยยิ่งทำให้เขาเป็นตัวละครที่ต้องรับภาระมากมายในด้านความรู้สึก ทั้งจากน้องสาวที่เริ่มจะไม่เข้าใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนร่วมงานที่ก็ไม่ได้จะใส่ใจเขา หรือมองเห็นเขาเป็นสายสืบในศักดิ์ที่เท่าๆ กัน แม้กระทั่งการทำคดีที่ต้องทำคนเดียว ตามสืบคนเดียวจากความสงสัยของตัวเองที่ไม่ตรงกับคนอื่นในทีม ยิ่งทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครที่ดูโดดเดี่ยวและเคว้งคว้างมาก


เพราะภาระที่หนักที่สุดในเรื่อง เลยเป็นตัวละครที่ตีความยากมาก แต่เราชอบการตีความตัวละครตัวนี้ที่พัคซองอุงเขาตีความออกมามาก เราว่ามันยากมากที่ตะทำให้ตัวละครที่เป็นคนอมทุกข์ซ่อนความรู้สึกไว้ในภาพลักษณ์แบบนั้น ความรู้สึกเสียใจที่มีต่อตัวนางเอกก็ดี หรือเหตุการณ์ในอดีตก็ดีถูกตีความออกมาในรูปแบบที่พิเศษ และมีเอกลักษณ์มาก เลยยิ่งทำให้เราชอบตัวละครตัวนี้ น่าจะเป็นตัวละครที่เราชอบที่สุดด้วย และในท้ายที่สุดคนเขียนบทก็พาตัวละครตัวนี้ไปพบกับความแตกสลายที่ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ

เพราะชีวิตคือเรื่องของจังหวะ

อาจจะเป็นคีย์สำคัญของเรื่องนี้ เราว่าทุกอย่างในเรื่อง ทุกความสัมพันธ์อันแสนซับซ้อนนี้มันขึ้นอยู่กับจังหวะทั้งนั้นเลย


นอกจาก The Smile Has Left Your Eyes จะเป็นซีรีส์ความสัมพันธ์อันแสนซับซ้อนในแบบที่เรานิยามว่าไม่มีวันที่ฟ้าสดใสในเรื่อง เพราะแม้แต่วันที่เราคิดว่าแสงส่องลงมาแล้ว ก็ยังเป็นเพียงแสงที่ลอดเมฆหนาลงมา ก็ยังเป็นซีรีส์สืบสวน (ตายแล้วที่ผ่านมาไม่เคยพูดเรื่องนี้แบบจริงจังเลยสินะคะ จนถึงบรรทัดนี้ lol) ที่เราว่ามู้ดมันค่อนข้างแปลกกว่าซีรีส์สืบสวนจากเกาหลีที่ได้ดู มีความอะไรก็ไม่รู้ที่เราอธิบายไม่ถูกอยู่พอสมควรเลย แล้วก็เขาเล่าในมุมมองของตัวยูจินกุกที่มีธงเป็นคิมมูยองเป็นหลัก เพราะฉะนั้นหลายๆ อย่างที่สืบสวนมันจะเป็นมุมมองทีมีธงอยู่แล้วด้วยส่วนนึง เอาจริงๆ เราก็ค่อนข้างชอบพาร์ทสืบสวนของเรื่องนี้พอตัวเลยนะ งานมันดิบใช้ได้เลย


ซีรีส์เล่าเรื่องความสัมพันธ์ได้เก่งมาก เราเชื่อความสัมพันธ์ของยูจินคังกับคิมมูยองมาก เขาทำพาร์ทของคนทั้งคู่ได้ดีมาก มันมีการพัฒนาความสัมพันธ์ การค่อยๆ เริ่มต้นหลุมรัก เริ่มเบลนด์เข้าหากันและคลั่งรักกันในที่สุด ตอนเขาอยู่ด้วยกันคือเราเชื่อจริงๆ ว่าเขาตกหลุมรักกัน มันเป็นความละมุนละไมที่เห็นแล้วชวนใจฟูเอามากๆ (และน่าจะเป็นพาร์ทที่ได้เห็นแสงลอดก้อนเมฆหนาลงมายังพื้นข้างล่าง)



จริงๆ ในความสัมพันธ์ของยูจินกุกกับยูจินคังมันเป็นพี่น้องที่แบบพี่น้องมากๆ ความ Sibling ที่แสนน่ารักก็เต็มไปหมด การที่ต่อล้อต่อเถียงเป็นห่วงเป็นใยกัน แต่ก็มีในหลายๆ การกระทำที่จินกุกมองว่าเป็นความหวังดีมันกลับเป็นตัวบีบให้จินคังรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก เราเลยชอบมากๆ ที่เขาเล่าทั้งในมุมของจินกุกและจินคัง ว่ารู้สึกยังไงกับการกระทำตรงนี้ เช่นการที่จินกุกพยายามเชียร์ให้รุ่นน้องที่ทำงานอย่างออมโชรงเป็นแฟนกับจินคัง เป็นต้น



เราค่อนข้างว้าวมากที่เขาทำให้เราเชื่อได้ว่าตัวแบคซึงอาตกหลุมรักคิมมูยองขนาดนั้น คือเราเชื่อจริงๆ นี่ก็น่าจะเป็นเครดิตทั้งนักแสดง การวางตัวละคร และการเล่าเรื่อง เราว่าเพราะการตีความตัวละครออกมา แล้วเราเชื่อได้เลยว่าคนแบบนี้ คนแบบซึงอาที่ใช้ชีวิตอยู่กรอบที่พ่อแม่กำหนดรู้จักคนไม่เยอะ จะตกหลุมรักผู้ชายอันตรายแบบนี้ เพราะการที่ไม่เคยออกนอกกรอบ พอได้เจอกับเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นก็พร้อมจะกระโดลงไปอย่างไม่คิดชีวิตอยู่แล้ว


ความสัมพันธ์ที่เราค่อนข้างชอบมากคือระหว่างยูริและยูจินกุก มันเป็นความรู้สึกจากคนที่ลอบทำร้ายน้องสาวสุดที่รัก สู่การเห็นอกเห็นใจกัน และดูจะกลายเป็นที่ปรึกษาและพึ่งพิงกันในตอนสุดท้าย ชอบที่ทั้งคู่สามารถรักษาไดนามิคตรงนี้ได้ โดยที่มันไม่ทำลายเส้นเรื่องความสัมพันธ์ที่ชวนเอาใจช่วยระหว่างยูจินกุกกับทัก ต้องบอกเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้เขาเก่งมากจริงๆ ในการเล่าแต่ละความสัมพันธ์ให้มีนัยพิเศษได้ขนาดนี้



ช่วงที่เราชอบที่สุดน่าจะเป็นช่วงท้ายๆ ความสัมพันธ์ของคิมมูยองและยูจินกุกที่เขาอยู่กันในหลายๆ สถานะ สองคนนี้มีความสัมพันธ์อันแสนพิเศษมากๆ เพราะมีหลายสถานะที่ถือกันไว้ และมันค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนตอนและความลับที่ค่อยๆ ถูกเปิดเผย สู่จุดสุดท้ายที่เริ่มจะเข้าใจกัน แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของเวลา และเรื่องนี้มันก็สายเกินไปแล้วจริงๆ



เราชอบวิธีการลงรายละเอียดในตัวละครของเขานะ เราไม่รู้ว่าเวอร์ญี่ปุ่นใส่มายังไง แต่ชอบความมูยองทำงานร้านเบียร์เป็นคนควบคุมกระบวนการการผลิตเบียร์ ส่วนตัวจินคังทำงานสายออกแบบที่ต้องมาข้องเกี่ยวกับการออกแบบเทศกาลเบียร์ ได้เจอกันในที่ทำงานบ้างในบางวัน ดูจะเป็นสถานที่ห่างไกลจากหูตาพี่ชายอีกด้วย


หรือวิธีการที่เขาใช้อาชีพตำรวจในการลงดีเทล และพาเราไปรู้จักกับตัวยูจินกุก เล่าว่าเป็นคนมีคาแรคเตอร์แบบไหน ทำงานยังไง เราค่อนข้างชอบพาร์ทอาชีพตำรวจของตัวยูจินกุกมาก คงเพราะเป็นซีรีส์สืบสวนด้วย เราเลยได้เห็นตรงนี้เยอะ แต่ซีรีส์ก็ยังไม่ทิ้งการลงดีเทลตรงนี้ของตัวละคร


ซีรีส์เรื่องนี้เราชอบงานภาพเขามากเลย ในแง่ที่ภาพได้บ่งบอกมู้ดในเรื่องอย่างชัดเจน งานภาพเขามีโทนที่ติดฟ้าหม่นๆ ดูอึมครึมอยู่เรื่อยๆ ซึ่งคงบรรยากาศของเรื่องได้ดีมาก อีกทั้งยังเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องโคตรดี เราชอบการเล่าเรื่องมาก (แม้หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่าช่วงแรกๆ มันเอื่อยไปหน่อย) ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความละมุน ความยุ่งเหยิงของความสัมพันธ์ ที่ค่อยๆ พาคนดูอย่างเราไปรู้จักกับแต่ละตัวละครอย่างช้าๆ อาจจะเพราะเนื่องด้วยจุดเด่นของเรื่องคือพล็อตที่วางมาไม่แน่นมากเลยไม่พื้นที่ที่ปล่อยให้ตัวละครได้ไหล


และการที่มีตัวละครไม่เยอะบวกกับตัวละครที่แข็งแรงขนาดนี้ทั้งในแง่เอกลักษณ์เฉพาะตัวและ Character Development ในหลายๆ แง่ของตัวละครที่พุ่งพล่านขึ้นไปตามความรู้สึกนึกคิดยิ่งทำให้มันเติมเต็มกันมาก เราได้รู้จักตัวละคร ได้เริ่มเข้าใจ และพาไปสู่จุดจบที่เกินบรรยาย การที่มันเล่ามาแบบนี้ ยิ่งทำให้ตอนจบมันบีบคั้นหัวใจเรา และพาเราไปสู่ความเวิ้งว้างแบบไม่มีที่สิ้นสุด


เรื่องตอนจบที่เป็นที่ถกเถียงกันนิดหน่อยในบรรดาคนดูละครเรื่องนี้ที่มีอย่างน้อยนิดถึงความต่างระหว่างเวอร์ญี่ปุ่นกับเวอร์เกาหลี ซึ่งเราที่ได้อ่านสปอยล์ตอนจบเวอร์ญี่ปุ่นมารู้สึกว่าชอบเวอร์เกาหลีมากกว่า การที่เกาหลีบิดตอนจบในช่วงอีพีท้ายๆ แบบนั้นยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างมันพังทลายอย่างสมบูรณ์แบบ ในเมื่อเราสามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่มารู้ความจริงในวันที่สายเกินไป ทุกอย่างเลยพังพินาศรวมไปถึงหัวใจคนดูอย่างเราด้วยเช่นกัน


หลายคนอาจบอกว่าปมในตอนจบมันไม่ทรงพลังที่จะทำให้จินกุกตัดสินใจแบบนั้น แต่เรามองว่าชีวิตอะมันเป็นเรื่องของจังหวะ ในจังหวะที่จะบอกทุกอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว แต่นาฬิกายังคงหมุนไปข้างหน้า พวกเราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็อยู่ในเหตุผลของมัน พอมันเล่าเรื่องด้วยไวบ์แบบนี้ เราเลยไม่ได้รู้สึกว่ามีเหตุผลที่เบาไป หรือหนักไป เพราะคนก็คือคนอะ และผลจาความผิดพลาดนี้ ยูจินกุกก็ได้รับมันแล้วอย่างแสนสาหัส


ในท้ายที่สุดแล้ว หลายคนอาจจะตามหาว่าใครเป็นคนผิดในเรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้ แต่สำหรับเราแล้ว เราไม่อาจโทษได้เลยว่าใครเป็นคนผิด เพราะทุกคนก็ทำดีในมุมมองของตัวเองแล้ว ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง และชีวิตมันก็แบบนี้เนี่ยแหละ เราไม่สามารถกำหนดอะไรให้มันเป็นได้อย่างใจเราทั้งนั้น และด้วยการเล่าเรื่องที่พาเราๆ ไปรู้จักกับตัวละครอย่างละเอียด มันยิ่งกลายเป็นซีรีส์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้า เคว้งคว้างที่ติดอยู่ในนั้น พอพูดถึง The Smile Has Left Your Eyes ทีไรเรายังนึกถึงตัวเองที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศ ไม่เห็นพื้นข้างล่างสักที


เราก็หวังเพียงว่า เขาทั้งสามคนจะนั่งมองดูดาวบนท้องฟ้าด้วยกันที่ไหนสักแห่งหนึ่งในจักรวาลนี้นะ

----------------------------------------------------
เป็นรีวิวที่เหมือนจะเขียนไม่ยาก เพราะมันมาจากความรู้สึกเราหมดเลย ไม่มีเรื่องอะไรที่มาตีความทั้งนั้น แต่กลับยากมาใช้ได้เลย เพราะเราพูดมาตลอดว่าซีรีส์เรื่องนี้อธิบายออกมาเป็นคำพูดยากมาก คืออยากให้ทุกคนได้ลองไปดู และไปสัมผัสความรู้สึกแบบนี้ด้วยกัน คุณอาจจะชอบ หรือเกลียดมัน แต่เราว่ามวลอารมณ์ในเรื่องมันจะทำงานบางอย่างกับคนดูแน่นอน

อยากให้ดูเรื่องนี้ในวันที่ฟ้าสดใสมากที่สุดค่ะ

ในรีวิวนี้อาจจะมีอะไรขาดตกบกพร่องไปหลายอย่าง ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ทักมาคุยกันได้เลยค่ะ

ขอบคุณมากที่อ่านกันมาถึงจุดนี้ ใครที่ดูเรื่องนี้แล้วคิดเห็นไม่ตรงกันอย่างไร มีอะไรอยากเพิ่มเติมที่เราตกหล่น หรืออยากหวีดด้วยกัน ทิ้งคอมเม้นท์ไว้ที่ด้านล่างได้เลยนะคะ หรือทักไปคุยกันในทวิตเตอร์ก็ได้ค่ะ

0/แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า